“สิงห์ เอสเตท” ต่อจิ๊กซอว์ตัวแรก ได้สิทธิ์ซื้อหุ้น 3 โรงไฟฟ้า สร้างรายได้ราว 7.5 พันล้าน เริ่มปี’67

“สิงห์ เอสเตท” ต่อจิ๊กซอว์ตัวแรก ได้สิทธิ์ซื้อหุ้น 3 โรงไฟฟ้า สร้างรายได้ราว 7.5 พันล้าน เริ่มปี’67

สปีดเร็ว&แรงสมชื่อมากที่สุดในเวลานี้ต้องยกให้ “สิงห์ เอสเตท” (S) ผู้พัฒนาและลงทุนอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยที่รุกเข้าซื้อหุ้นโรงงานผลิตไฟฟ้า 3 แห่งทันทีหลังประกาศแผนปรับแผนกลยุทธ์ครั้งใหม่ได้ไม่นาน

ดีลครั้งนี้ไม่เพียงทำให้ สิงห์ เอสเตท สร้างรายได้อย่างต่อเนื่องราว 7,500 ล้านบาทนับตั้งแต่ปี 2567 แต่เงื่อนไขซื้อขายยังเอ็กซ์คลูซีพและน่าสนใจเป็นอย่างมาก

สิทธิ์ซื้อหุ้น 30% จาก 3 โรงงานผลิตไฟฟ้า ในราคาพาร์
มูลค่าลงทุน 1,392 ล้านบาท

นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ บมจ. สิงห์ เอสเตท เปิดเผยว่าบริษัทได้สิทธิ์ซื้อหุ้นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเงื่อนไขที่น่าดึงดูดใจอย่างมาก โดยเป็นผู้ได้สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการเข้าซื้อหุ้นสามัญ 30% ในโรงงานผลิตไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (Co-generation power plant) ขนาดใหญ่ 3 แห่ง ในราคาพาร์ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 1,392 ล้านบาท

โรงผลิตไฟฟ้าและพลังความร้อนร่วมทั้ง 3 แห่งมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 400 เมกะวัตต์ ได้แก่ โรงไฟฟ้าของบริษัท อ่างทอง เพาเวอร์ จำกัด ในนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ จังหวัดอ่างทอง กำลังการผลิต 123 เมกะวัตต์ ปัจจุบันดำเนินการผลิตแล้ว

โรงไฟฟ้าบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (ราชบุรี) 1 จำกัด และบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (ราชบุรี) 2 จำกัด ในเขตนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ จังหวัดอ่างทองเช่นกัน กำลังผลิตโรงงานละ 140 เมกะวัตต์ ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้างมีกำหนดเปิดดำเนินการในปี 2566

ทั้งนี้ กระบวนการเข้าซื้อหุ้นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าทั้งสามแห่งจะเริ่มเมื่อได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นของบมจ. สิงห์ เอสเตท ซึ่งมีกำหนดจัดการประชุมสามัญประจำปีในวันที่ 23 เมษายน 2564 นี้

สร้างรายได้ราว 7,500 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2567

“สิงห์ เอสเตท” ต่อจิ๊กซอว์ตัวแรก ได้สิทธิ์ซื้อหุ้น 3 โรงไฟฟ้า สร้างรายได้ราว 7.5 พันล้าน เริ่มปี’67
ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท 

นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า ใบอนุญาตโรงไฟฟ้าที่มีขนาดกำลังการผลิตระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะหามาได้ง่ายๆ ฉะนั้นเราจึงรู้สึกยินดีมากเป็นพิเศษที่ได้รับสิทธิ์ในการเข้าเป็นผู้ถือหุ้นในโรงไฟฟ้าที่สำคัญถึง 3 แห่งในสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก ซึ่งจะทำให้เรามีฐานธุรกิจที่มั่นคงในอุตสาหกรรมผลิตกระแสไฟฟ้าได้ทันที โดยไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์

“ปัจจัยที่ทำให้สิทธิ์ในการเข้าซื้อหุ้นที่เราได้รับครั้งนี้น่าดึงดูดใจเป็นอย่างมาก คือ กระแสไฟฟ้าจำนวน 270 เมกะวัตต์หรือคิดเป็นเกือบ 70% ของกระแสไฟฟ้าที่ทั้ง 3 โรงไฟฟ้านี้จะผลิตได้รวมกันนั้นสามารถขายได้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้วตามราคาที่ได้ตกลงกันไว้ ซึ่งทำให้เรามั่นใจได้ว่าจะสร้างรายได้เข้าบริษัทได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืนต่อไปในระยะยาว”

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จะสร้างรายได้ให้บริษัทราว 7,500 ล้านบาท นับตั้งแต่ปี 2567

ส่วนแหล่งเงินทุนในโครงการการซื้อหุ้นในครั้งนี้ ในช่วงแรกจะใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินก่อนหลังจากนั้นค่อยลงทุนเองในภายหลังและในจำนวนที่ไม่มาก และด้วยฐานะทางการเงินของบริษัทที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนในระดับต่ำเพียง 0.96 เท่า สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อีก 25,000 ล้านบาท ดังนั้นเรื่องเงินลงทุนจึงไม่ได้เป็นประเด็นสำคัญมากนัก

ความโดดเด่นของโรงไฟฟ้า “อ่างทอง พาวเวอร์”

อ่างทอง เพาเวอร์ เป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่ทำกำไรได้โดยไม่จำเป็นต้องขายไฟให้กับผู้ใช้ทั่วไป และกระแสไฟฟ้าจำนวน 75% ของกระแสไฟฟ้าทั้งหมดที่ผลิตได้ ได้ถูกทำสัญญาซื้อโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 25 ปี

นอกจากนี้ “การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ยังช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลกำไรได้สูงขึ้นกว่าอัตราที่ประเมินไว้ในขั้นต้น”

การเข้าซื้อหุ้นในโรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งนี้จึงเป็นการลงทุนที่จะสร้างผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจเป็นอย่างมากให้กับสิงห์ เอสเตท และมากไปกว่านั้นคือจะสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจทั้งหมด ด้วยการเข้ามาส่งเสริมซึ่งกันและกันกับธุรกิจต่างๆ ของสิงห์ เอสเตท (Synergy benefits)

ก่อนหน้านี้สิงห์ เอสเตทได้ประกาศแผนกลยุทธ์ครั้งใหม่ ขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นสามเท่าเป็นบริษัทที่มีรายได้ 20,000 ล้านบาทต่อปีภายในระยะเวลาสามปี ด้วยการขยายธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า นิคมอุตสาหกรรมและธุรกิจบริการด้านวิศวกรรม

นี่จึงเป็นการต่อจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญชิ้นแรก ที่นำสิงห์ เอสเตทไปสู่เป้าหมายตามแผนกลยุทธ์ดังกล่าว 

จิ๊กซอว์ตัวต่อไปน่าจะออกมาในไม่ช้า, โปรดติดตาม

บทความแนะนำ

บทความที่เกี่ยวข้อง