รู้หรือไม่? มีดอกเบี้ยบ้านบางประเภทที่ไม่สามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ ซึ่งตามปกติแล้วดอกเบี้ยกู้ยืมที่จ่ายให้แก่ธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่น บริษัทประกันชีวิต สหกรณ์ หรือนายจ้าง สำหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารสำหรับการอยู่อาศัย โดยจำนองอาคารที่ซื้อหรือสร้างเป็นประกันการกู้ยืม สามารถนำมาหักค่าลดหย่อนได้ตามจำนวนเท่าที่จ่ายจริงเเต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยมีวิธีคำนวณดังนี้
? กรณีผู้มีเงินได้กู้ยืมเพียงคนเดียว สามารถนำมาหักค่าลดหย่อนได้ตามจำนวนเท่าที่จ่ายจริง เเต่ไม่เกิน 100,000 บาท
? กรณีมีผู้กู้ร่วมกันหลายคนกู้ยืมเงินจะต้องเฉลี่ยตามส่วนจำนวนผู้กู้ร่วม เเต่รวมกันเเล้วต้องไม่เกินจำนวนที่จ่ายจริง เเละไม่เกิน 100,000 บาท ไม่ว่าผู้กู้ร่วมจะมีเงินได้หรือไม่ หรือจะใช้สิทธิลดหย่อนดอกเบี้ยบ้านหรือไม่ก็ตาม ตัวอย่างเช่น มีชื่อผู้กู้ร่วม 2 คน จ่ายดอกเบี้ยบ้านไปจริง 100,000 บาท เพราะฉะนั้นเเเต่ละคนจะมีสิทธิหักลดหย่อนดอกเบี้ยบ้านได้คนละ 50,000 บาท (ดอกเบี้ยบ้าน 100,000÷2 เท่ากับคนละ 50,000 บาท)
แต่ก็ยังมีดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้านบางกรณีที่ไม่สามารถนำมาใช้หักลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งข้อมูลจาก K-Expert (ธนาคารกสิกรไทย) ให้คำอธิบายว่า ในกรณีที่ผู้กู้ทำการรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้านจากสถาบันการเงินหนึ่งไปยังอีกสถาบันการเงินหนึ่ง โดยสถาบันการเงินใหม่เสนอเพิ่มวงเงินให้
ยกตัวอย่าง..นาย A กู้เงินเพื่อซื้อบ้านไว้จำนวน 4 ล้านบาทเมื่อหลายปีที่เเล้ว ก็ผ่อนกันไปเรื่อยๆ จนเหลือยอดเงินต้น 2 ล้านบาท เเต่เกิดผ่อนต่อไม่ไหว เลยตัดสินใจรีไฟแนนซ์ โดยตกลงกู้เงินจากสถาบันการเงินใหม่อีก 1 ล้านบาท รวมเป็นยอดเงินต้น 3 ล้านบาทภายใต้หลักประกันเดียวกัน
กรณีเช่นนี้ผู้มีเงินได้สามารถนำดอกเบี้ยจ่ายในส่วนของเงินกู้เดิม 2 ล้านบาทไปหักลดหย่อนภาษีได้เป็นปกติ เเต่ไม่สามารถนำดอกเบี้ยจ่ายในส่วนที่เงินกู้เพิ่มเติมอีก 1 ล้านบาทนั้นไปใช้ประโยชน์เชิงภาษีได้
ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
ก็เพราะวัตถุประสงค์ของสิทธิลดหย่อนนี้มีไว้เพื่อการมีบ้านเป็นของตัวเองนั่นเอง ดังนั้นเงินกู้ที่เกิดขึ้นใหม่ถือเป็นเงินกู้ส่วนบุคคลที่เอาบ้านมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการซื้อบ้าน ทั้งนี้สถาบันการเงินใหม่จะทำการเเยกสัญญาเป็นอีกฉบับหนึ่ง โดยมักระบุว่าเป็นวงเงินเพื่อตกเเต่ง ต่อเติม หรือใช้ประโยชน์ส่วนอื่นๆ