ปัญหานี้มีโอกาสเกิดขึ้นง่ายมาก โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ที่หลายคนอาจมีหนี้สินเดิมเยอะอยู่แล้ว แต่ตัดสินใจดาวน์บ้านหรือคอนโดฯไว้ ทำให้เมื่อถึงเวลาจะต้องรับโอน หรือยื่นกู้ธนาคาร อาจมีปัญหาขลุกขลัก เช่น ยื่นเรื่องไปแล้ว แต่ยังไม่อนุมัติ หรือมีแนวโน้มกู้ไม่ผ่าน ขณะที่โครงการก็เร่งให้โอน เพราะกำลังจะปิดงบสิ้นปี,ลองมาดูทางออก ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ จะแก้ยังไงบ้าง
ยื้อเวลารับโอน: น่าจะเป็นวิธีต้องทำไปโดยอัตโนมัติ ก็พยายามหาDefect เยอะๆ เผื่อถ่วงเวลาในการแก้ไข หรืออ้างติดธุระไปต่างประเทศ ไม่สบาย เลื่อนนัดการตรวจบ้าง ก็น่าจะพอยื้อเวลาไปได้บ้าง ระหว่างนี้ก็รีบหาทางดำเนินการเรื่องกู้ ปกติถ้าโครงการสร้างเสร็จแล้ว การตรวจและแก้Defect จะใช้เวลาราว 3-4 เดือน เต็มที่ก็ไม่เกิน 6 เดือน เพราะโครงการก็มีเป้าหมายหรือกำหนเวลาในการโอนเหมือนกัน
กู้หลายธนาคาร : สำหรับบางคนมีสเตทเม้นท์ไม่ดีนัก ก้ำกึ่งว่าจะกู้ผ่านหรือไม่ผ่าน แบบนี้ต้องวางแผนล่วงหน้า ด้วยการยื่นกู้สัก 4-5 ธนาคาร อาจต้องยอมเสียค่าประเมินเยอะหน่อย แต่ก็เป็นวิธีป้องกันได้ดี เพราะถ้าไม่มีปัญหาติดแบล็คลิสต์ก็น่าจะกู้ผ่านสักธนาคารบ้างล่ะ ยกเว้นว่าติดแบล็คลิสต์อยู่ แล้วไปยื่นกู้ แบบนี้กี่แบงก์ก็ได้คำตอบเหมือนกัน ฉะนั้น ต้องเช็คข้อมูลเครดิตล่วงหน้าก่อนยื่นกู้ด้วย
ลดงบฯ เปลี่ยนห้อง/เปลี่ยนโครงการ : ถ้ากู้ไม่ผ่าน เพราะรายได้ไม่พอ หรือราคาบ้าน/คอนโดฯ สูงเกินไป ก็จำเป็นต้องลดงบ เช่น ถ้ายังมีห้องเหลือก็ต้องเปลี่ยนเพื่อไปเอาห้องที่เล็กลงหรือบ้านหลังเล็กลง ซึ่งราคาจะถูกกว่า แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับโครงการยังมีห้องเหลืออยู่หรือเปล่า หรือบริษัทนี้มีโครงการให้เลือกนอกเหนือจากโครงการที่ซื้อหรืเปล่า ถ้าไม่มีก็ทำไม่ได้
หาคนกู้ร่วม : เป็นทางเลือกหนึ่งที่ใช้กันมาก ถ้ากู้คนเดียวไม่ผ่าน รายได้ไม่ถึง ก็ต้องหาคนกู้ร่วม โดยคนที่จะมาเป็นคนกู้ร่วมและต้องเป็นเครือญาติ หรือสามีภรรยา และต้องผ่านการตรวจคุณสมบัติเหมือนผู้กู้หลักทุกประการ
ขายดาวน์.: น่าจะเป็นทางออกสุดท้าย สำหรับคนที่กู้ไม่ผ่าน ก็ต้องรีบประกาศขายดาวน์ ซึ่งถ้าถูกเร่งขึ้นมาจริงๆ ต้องขายขาดทุนก็ต้องจำเป็น ได้เงินกลับมานิดหน่อยก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
